จันทร์แก้ว

จันทร์แก้ว

ผู้เยี่ยมชม

chansa7@gmail.com

  ขอคำปรึกษา เป็นหนี้บัตรเคดิต ธนาคารอ้างว่าออกบัตรเครดิตของธนาคารใหม่ที่รับโอนกิจการ ...จนมีคำสั่งศาล (320 อ่าน)

14 ต.ค. 2563 00:53

เป็นหนี้บัตรเครดิตค่ะ เพิ่งได้รับหมายศาลวันที่ 13 ตุลาคม 2563 ค่ะ จะขออนุญาตเล่าพอสังเขปนะคะ...เป็นหนี้บัตรเครดิตค่ะ ตอนนั้นบัตรเครดิตเป็นของธนาคารสแตนตาร์ดชาร์ตเตอร์ ต่อมาธนาคารสแตนดาร์ตชาร์ต (ไทย) จำกัด (มหาชน) ได้โอนกิจการบัตรเครดิตให้แก่บริษัท ออล-เวย์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของบริษัททิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โดยความเห็นชอบของธนาคารแห่งประเทศไทย ตามโครงการโอนและรับโอนกิจการลูกค้ารายย่อยรวมทั้งการโอนกิจการบัตรเครดิต และต่อมาเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2561 บริษัทออล-เว์ส จำกัด และธนาคารซิตี้แบงค์,เอ็น,เอ. สาขากรุงเทพมหานคร และธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ได้ทำสัญญาซื้อขายสินทรัพย์ (บัตรเครดิต) ทำหารขายและการซื้อสินทรัพย์ที่ทำการซื้อขายในธุรกิจบัตรเครดิต ให้แก่โจทก์ โดยบริษัทออล-เวย์ส จำกัด เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นในประเทศไทย ซึ่งมีสำนักงานจดทะเบียนตั้งอยู่ที่อาคารทิสฏ้ ทาวเวอร์ (ผู้ขาย) และธนาคารซิตี้แบงค์,เ็น,เอ. สาขากรุงเทพมหานคร ซึ่งมีสำนักงานจดทะเบียนตั้งอยู่เลขที่ 399 อาคารอินเตอร์เชนจ์ 21 ถนนสุขุมวิท (ผู้ซื้อ) คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงตามข้อตกลงที่จะซื้อสินทรัพย์อันได้แก่หลักทรัพย์ และจะถือว่าเป็นภาระผูกพันที่กำหนดขึ้นไว้ต่อผู้ซื้อภายใต้สัญญา รายละเอียดและสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้ ปรากฎตามสัญญาซื่อขายสินทรัพย์ (บัตรเครดิต)

ตรงนี้สำคัญค่ะ (จากหมายศาสค่ะ) หลังจากที่โจทย์ได้ซื้อสินทรัพย์ประเภทสินเชื่อบุคคลจากธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ออล เวย์ส จำกัด โจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งรับการโอนหนี้พร้อมจำนวนเงินที่คงค้างชำระไปให้จำเลย (ดิฉัน) ทราบแล้ว ปรากฎว่า เมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2561 จำเลยได้ขอเปิดใช้บริการบัตรเครดิตซิตี้แบงค์ (หมายศาลระบุเช่นนั้น) (ไม่เคยค่ะ..บริษัททิสโก้ฯส่งเอกสารให้ดิฉันกรอก ดิฉันก็ไม่ได้กรอกนะคะ และไม่มีบัตรเครดิตซิตี้ เพรสทีจ ตามที่หมายศาลอ้างด้วย) โดยโจทย์ได้ส่งมอบบัตรเครดิตซิตี้ เพรสทีจ ให้กับจำเลยแทนบัตรเครดิต สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ ไทเทเนียม โดยโจทย์ออกบัตรเครดิตซิตี้ เพรสทิจ หมายเลข 4386 7960 0023 - 2115 ให้กับจำเลย (ดิฉัน) บัตรเครดิตดังกล่าวสามารถใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้าและบริการ ตลอดจนเบิกถอนเงินสดจากสถานประกอบกิจการค้าที่เป็นสมาชิกของโจทก์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ......

เฉพาะที่นำมาฟ้องในคดีนี้ เขาบอกว่า จำเลย (ดิฉัน) ได้นำบัตรเคดิตซิตี้แบงค์ที่โจทย์ออกให้ไปใช้แทนเงินสดในการซื้อสิค้าและบริการ ตลอดจนเบิกถอนเงินสดจากสถานประกอบกิจการค้าต่างๆ ที่เป็นสมาชิกของโจทย์หลายครั้ง ซึ่งโจทก์ได้ออกงินทดรองจ่ายแทนจำเลยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 เรื่อยมา ปรากฎว่า จำเลยไม่ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์เลย และหลังจากนั้นจำเลยก็มิได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์อีกเลย จึงทำให้โจทก์ในฐานะผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องได้รับความเสียหาย โดยโจทย์คำนวณยอดหนี้ค้างชำระถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 เป็นจำนวนเงิน 125,951.51 บาท ดอกเบี้ย จำนวน - บาท เบี้ยปรับ จำนวน - บาท



ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทย์ แต่เมื่อครบกำหนดจำเลยมิได้ชำระหนี้ดังกล่าวให้ครบถ้วน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนั้น จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ที่ค้างชำระทั้งหมดจำนวน 125,951.51 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งเป็นดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิตามกฎหมายในการประกาศให้มี ผลใช้บังคับนับตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นวันผิดนัดชำระหนี้ที่โจทก์เรียกเก็บทั้งหมดจากต้นเงิน จำนวน 125,954.51 บาท โดยคิดดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้อง (ฟ้องวนที่ 24 กรกฎาคม 2563) คิดดอกเบี้ยอีกเป็นเงินจำนวน 31,523.14 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยต้องรับผิดชดใช้ให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 157,477.65 บาท ค่ะ



จึงเรียนถามท่านซึ่งเป็นผู้รู้ และรอการให้คำปรึกษาค่ะ #ซิงเกิ้ลมัม#





เป็นหนี้บัตรเครดิตค่ะ เพิ่งได้รับหมายศาลวันที่ 13 ตุลาคม 2563 ค่ะ จะขออนุญาตเล่าพอสังเขปนะคะ...เป็นหนี้บัตรเครดิตค่ะ ตอนนั้นบัตรเครดิตเป็นของธนาคารสแตนตาร์ดชาร์ตเตอร์ ต่อมาธนาคารสแตนดาร์ตชาร์ต (ไทย) จำกัด (มหาชน) ได้โอนกิจการบัตรเครดิตให้แก่บริษัท ออล-เวย์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของบริษัททิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โดยความเห็นชอบของธนาคารแห่งประเทศไทย ตามโครงการโอนและรับโอนกิจการลูกค้ารายย่อยรวมทั้งการโอนกิจการบัตรเครดิต และต่อมาเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2561 บริษัทออล-เว์ส จำกัด และธนาคารซิตี้แบงค์,เอ็น,เอ. สาขากรุงเทพมหานคร และธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ได้ทำสัญญาซื้อขายสินทรัพย์ (บัตรเครดิต) ทำหารขายและการซื้อสินทรัพย์ที่ทำการซื้อขายในธุรกิจบัตรเครดิต ให้แก่โจทก์ โดยบริษัทออล-เวย์ส จำกัด เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นในประเทศไทย ซึ่งมีสำนักงานจดทะเบียนตั้งอยู่ที่อาคารทิสฏ้ ทาวเวอร์ (ผู้ขาย) และธนาคารซิตี้แบงค์,เ็น,เอ. สาขากรุงเทพมหานคร ซึ่งมีสำนักงานจดทะเบียนตั้งอยู่เลขที่ 399 อาคารอินเตอร์เชนจ์ 21 ถนนสุขุมวิท (ผู้ซื้อ) คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงตามข้อตกลงที่จะซื้อสินทรัพย์อันได้แก่หลักทรัพย์ และจะถือว่าเป็นภาระผูกพันที่กำหนดขึ้นไว้ต่อผู้ซื้อภายใต้สัญญา รายละเอียดและสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้ ปรากฎตามสัญญาซื่อขายสินทรัพย์ (บัตรเครดิต)

ตรงนี้สำคัญค่ะ (จากหมายศาสค่ะ) หลังจากที่โจทย์ได้ซื้อสินทรัพย์ประเภทสินเชื่อบุคคลจากธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ออล เวย์ส จำกัด โจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งรับการโอนหนี้พร้อมจำนวนเงินที่คงค้างชำระไปให้จำเลย (ดิฉัน) ทราบแล้ว ปรากฎว่า เมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2561 จำเลยได้ขอเปิดใช้บริการบัตรเครดิตซิตี้แบงค์ (หมายศาลระบุเช่นนั้น) (ไม่เคยค่ะ..บริษัททิสโก้ฯส่งเอกสารให้ดิฉันกรอก ดิฉันก็ไม่ได้กรอกนะคะ และไม่มีบัตรเครดิตซิตี้ เพรสทีจ ตามที่หมายศาลอ้างด้วย) โดยโจทย์ได้ส่งมอบบัตรเครดิตซิตี้ เพรสทีจ ให้กับจำเลยแทนบัตรเครดิต สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ ไทเทเนียม โดยโจทย์ออกบัตรเครดิตซิตี้ เพรสทิจ หมายเลข 4386 7960 0023 - 2115 ให้กับจำเลย (ดิฉัน) บัตรเครดิตดังกล่าวสามารถใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้าและบริการ ตลอดจนเบิกถอนเงินสดจากสถานประกอบกิจการค้าที่เป็นสมาชิกของโจทก์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ......



เฉพาะที่นำมาฟ้องในคดีนี้ เขาบอกว่า จำเลย (ดิฉัน) ได้นำบัตรเคดิตซิตี้แบงค์ที่โจทย์ออกให้ไปใช้แทนเงินสดในการซื้อสิค้าและบริการ ตลอดจนเบิกถอนเงินสดจากสถานประกอบกิจการค้าต่างๆ ที่เป็นสมาชิกของโจทย์หลายครั้ง ซึ่งโจทก์ได้ออกงินทดรองจ่ายแทนจำเลยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 เรื่อยมา ปรากฎว่า จำเลยไม่ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์เลย และหลังจากนั้นจำเลยก็มิได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์อีกเลย จึงทำให้โจทก์ในฐานะผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องได้รับความเสียหาย โดยโจทย์คำนวณยอดหนี้ค้างชำระถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 เป็นจำนวนเงิน 125,951.51 บาท ดอกเบี้ย จำนวน - บาท เบี้ยปรับ จำนวน - บาท

ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทย์ แต่เมื่อครบกำหนดจำเลยมิได้ชำระหนี้ดังกล่าวให้ครบถ้วน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนั้น จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ที่ค้างชำระทั้งหมดจำนวน 125,951.51 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งเป็นดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิตามกฎหมายในการประกาศให้มี ผลใช้บังคับนับตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นวันผิดนัดชำระหนี้ที่โจทก์เรียกเก็บทั้งหมดจากต้นเงิน จำนวน 125,954.51 บาท โดยคิดดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้อง (ฟ้องวนที่ 24 กรกฎาคม 2563) คิดดอกเบี้ยอีกเป็นเงินจำนวน 31,523.14 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยต้องรับผิดชดใช้ให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 157,477.65 บาท ค่ะ



จึงเรียนถามท่านซึ่งเป็นผู้รู้ และรอการให้คำปรึกษาค่ะ #ซิงเกิ้ลมัม#

จันทร์แก้ว

จันทร์แก้ว

ผู้เยี่ยมชม

chansa7@gmail.com

ตอบกระทู้
CAPTCHA Image
Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้